Thai Clip

Sunday, December 27, 2009

เปลี่ยนฉาก : แง่งาม - Thai Clip

จากหนังสือ “เปลี่ยนฉาก (Life in different angles)” ที่พูดถึงที่มาของเพลง “แง่งาม”

...............

ไม่น่าเชื่อว่าเพลงที่มีมุมมองเกี่ยวกับเป้าหมายของชีวิต จะเริ่มต้นจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

ถึงผมจะมีแนวคิดเกี่ยวกับชีวิตแบบเพลงนี้มานานแล้วก็จริง แตจ่ก็ไม่เคยคติดแต่งเป็นเพลง จขนกระทั่งได้โจทย์จากมาม่า อันที่จริงงานเพลงโฆษณานี่ผมเลิกรับทำไปตั้งนานแล้วล่ะ แต่งานนี้ฟังโจทย์แล้วอยากทำ มาม่าเขาจะทำโฆษณาชิ้นหนึ่งเพื่อเฉลิมฉลอง 30 ปี ที่ทำของขายคนไทยจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไปแล้ว แต่มาม่าเขาไม่อยากทำโฆษณาประเภทฉลองยิ่งใหญ่ 30 ปีทองมาม่า แจกรถเฟอร์รารี 30 คันอะไรประเภทนั้น ผมคิดเอาเองว่าเขาน่าจะเอยากฉลองครบรอบ 30 ปีแบบที่คนอายุ 30 ปี อยากฉลองวันเกิดตัวเอง

อ้าว…แล้วคนอายุ 30 กับคนอายุ 16 ฉลองวันเกิดต่างกันตรงไหน

ถ้าเป็นวัยรุ่นก็คงจะมองวันเกิดด้วยมิติของความสนุกสนานอย่างเดียว แต่คนอายุเกิด 30 ที่ทำของขายคนไทยจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไปแล้ว แต่มาม่าเขาไม่อยากทำโฆษณาประเภทฉลองยิ่งใหญ่ 30 ปีทองมาม่า แจกรถเฟอร์รารี่ 30 คัน อะไรประมาณนั้น ผมคิดเอาเองว่าเขาน่าจะอยากฉลองครบรอบ 30 ปี อยากฉลองวันเกิดตัวเอง

อ้าว…แล้วคนเราอายุ 30 กับคนอายุ 16 ฉลองวันเกิดต่างกันตรงไหน

คนเป็นวัยรุ่นก็คงจะมองวันเกิดด้วยมิติของความสนุกสนานอย่างเดียว แต่คนอายุเกิน 30 ไปแล้วมักจะมีความรู้สึกอื่นผสมอยู่ด้วย โดยเฉพาะการได้ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

คนไทยถือกันว่า อายุเบญจเพส หรืออายุ 25 ปี เป็นตัวเลขเคล็ด คือ มีทั้งเรื่องดี เรื่องราย คนอายุยี่สิบห้า ถ้าเป็นหนุ่มก็เป็นหนุ่มที่เขาเรียกว่าวัยฉกรรจ์ เรื่ยวแรงเยอะ ผ่านวันเวลาของวัยรุ่นวุ่นวายไปแล้ว ถ้าเป็นสาวก็ยังอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ และก็ผ่านวัยอาโนเนะมาแล้วเหมือนกัน ความคิดความอ่านย่อมนิ่งกว่าเดิม ยิ่งเลยยี่สิบห้าปีมาถึงสามสิบปี ต่อให้ฉลองวันเกิดแบบสนุกสนานเต็มที่ พอนั่งอยู่คนเดียวก็ต้องมีฉุกคิดบ้างล่ะ ผมว่า

พอผมได้โจทย์ให้ทำเพลงในโฆษณาครบรอบ 30 ปี โดยโจทย์ให้อิสระผมเขียนเพลงอะไรก็ได้ที่พูดถึงชีวิตในแง่มุมของผม โดยไม่ต้องพูดถึงชื่อสินค้าหรือสรรพคุณของสินค้าเลย ผมก็คิดว่าจะลองใช้แนวคิดของคนที่มองวันเกิดแบบทบทวนคืนวันที่ผ่านมาดู

ทุกครั้งที่ผมนั่งมองกาลเวลา ผมพบว่าไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ สำเร็จหรือล้มเหลว ทุกเรื่องมักจะมีมุมที่งดงามโผล่มามองให้เห็นเสมอ ถึงจะเป็นเรื่องล้มเหลวแบบกลิ้งไม่เป็นท่า ผมก็ว่ามันก็ยังมีแง่ง่ามๆแอบซ่อนอยู่ ต่อให้นอนแอ้งแม้งมันก็มี ต้องมีมุมสักมุมให้มอง

ดูอย่างหนังสือไปยาลใหญ่นั่นไง ผมทำไม่รู้กี่ปี ไม่มีกำไรสักบาท แต่มันมีมุมดีๆมากมายให้ผมมองกลับไปทุกครั้ง

ผมเคยดูหนังเรื่องอพอลโล 13 ที่เล่าถึงการเดินทางไปดวงจันทร์แล้วล้มเหลวไปไม่ถึงดวงจันทร์ ยานอวกาศมีบางอย่างขัดข้องค้างเติ่งอยู่ในอวกาศ ทุกคนทั้งคนบนยาน ทั้งที่ฐานส่งจรวดจึงช่วยกันทุกวิถีทางที่จะเอานักบินสามคนกลับโลกมาอย่าง ปลอดภัยให้ได้ หนังมันเดินเรื่องตื่นเต้นไปตามสไตล์หนังฮอลลีวูดล่ะ แต่ผมชอบบทสรุปของหนังเรื่องนี้มาก

“ความสำเร็จบนความล้มเหลว” นี่แหละผมว่าคือแง่ง่ามแง่ใหญ่เลย

ท่อนแยกของเพลงนี้ผมเขียนว่า “ชีวิตไม่เคยมีทางตัน มันอยู่ตรงจะเห็นเป็นมุมใด” ที่เขียนอย่างนั้น เพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ไม่ว่าเรื่องอะไร เมื่อมันตันจนถึงจุดหนึ่ง มันจะเกิดมุมมองใหม่เอง แล้วมุมมองใหม่ก็จะสร้างทางเลือกให้เราเอง

ปราย พันแสง เคยฟังเพลงท่อนนี้แล้วก็แซวผมว่า เพลงนี้เหมาะกับมาม่าจริงๆ ผมก็ค้นพาชื่อถามเธอไปว่าทำไมถึงคิดว่าเหมาะ เธอบอกว่าครั้งใดที่เธอเกิดหิวขึ้นมากลางดึก แล้วเผอิญร้านอาหารปิดหมดแล้ว ก็มีมาม่านี่แหละช่วยเอาไว้ให้ชีวิตไม่มีทางตัน ดีนะที่ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้อเยนซี่ที่ทำโฆษณาให้มาม่าฟัง ไม่อย่างนั้นป่านนี้เขาอาจจะติดต่อ ปราย พันแสง ให้เป็นพรีเซนเตอร์ไปแล้วก็ได้

อันที่จริงเพลงในโฆษณามันจบแค่ท่อนแยกแค่นี้แหละ แต่ผมดันทะลึ่งไปคิดต่อว่ามันน่าจะมีเรื่องอะไรอีกสักเรื่องในท่อนจบ เพื่อทำให้เพลงนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ครั้นจะให้เขียนขยายความท่อนหนึ่งสองออกไปอีก ผมก็ว่ามันพูดไว้พอดิบพอดีแล้วทั้งสองท่อน ไม่น่าจะไปขยายมันอีก ขยายฃมากๆเข้ามันจะเยิ่นเย้อไปกันใหญ่ ในที่สุดผมก็เลือกพูดอีกเรื่องที่ผมอยากพูด นั่นคือเรื่องเป้าหมายของชีวิต ซึ่งแม้จะเป็นอีกเรื่องที่ดูไม่เกี่ยวกัน แต่ก็สามารถผูกเป็นเรื่องเดียวกันได้

ผมเห็นคนอมทุกข์หลายคนให้ความสำคัญกับเป้าหมายของชีวิตมาก มันมากเสียจนกระทั่งลืมเลือนแง่ที่งดงามของชีวิตไป บางคนทำมาหากินตัวเป็นเกลียวแต่ไม่เคยนั่งกินข้าวสบายๆกับครอบครัวเลย บางคนขายของทั้งวันทั้งคืน ครั้นถามว่าได้เงินมาแล้วเอาไปทำอะไรต่อ เขาก็ตอบว่าก็ไปซื้อของมาขายอีกไง เคยเห็นคนที่จะไปดอยอินทนนท์เพื่อไปถ่ายรูปกับป้ายสูงสุดยอดในสยามไหม บางคนเป็นอย่างนั้นจริงๆนะ ไปเพื่อให้ได้ชื่อว่าได้มาที่เขาที่สูงที่สุดในประเทศถ่ายรูปเสร็จแล้วก็ลง เขาไปเลย ไม่เห็นสนใจความงามของดอยเลย

มุมมองที่งดงามของชีวิตมันมีอยู่ทุกที่แหละ ไม่ต้องตามหาสุดขอบฟ้าอย่างกับที่เราต้องตามหาเป้าหมายหรอก ต่อให้เดินอยู่บนเส้นทางขรุขระที่จะพาไปสู่เป้าหมาย ผมว่ามันก็มีแง่ง่ามซ่อนอยู่ตลอดทาง มันอยู่ที่เราจะมองมันหรือเปล่าเท่านั้นเอง

No comments:

Post a Comment